สาระสำคัญ
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทุกชั้นวรรณะ
โดยมุ่งเน้นถึงกลุ่มคนที่มีความวุ่นวายหรือมีความทุกข์
เพื่อดับตัณหาความยากของมนุษย์อันเป็นต้นเหตุความทุกข์
พระพุทธศาสนามีวิธีการแห่งหลักธรรมคำสอนที่เป็นจุดแห่งความคิดมากมาย
โดยอาศัยความศรัทธาเป็นพื้นฐานและมีปัญหาเป็นผลที่เกิดตามมา
พระพุทธศาสนามีความสำคัญมากมายหลายประเด็นมีหลักคำสอนสำหรับพัฒนาบุคคลให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งชีวิตบนพื้นฐานของเหตุผลและความถูกต้อง ท่านได้กำหนดข้อปฏิบัติในการฝึกฝน
อบรมตน
ด้วยการให้ละความชั่ว ประพฤติแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งในขั้นตอนของการพัฒนาตนนั้น
ต้องเริ่มต้นด้วยมีศรัทธา
คือมีความเชื่อที่ถูกต้องในหลักเหตุและผลโดยอาศัยปัญญาเข้าไปกำกับทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ แต่การที่คนเราจะมีปัญญาได้นั้น
ตนเองก็ต้องรู้จักคิด รู้จักอบรมปัญญาให้เกิดขึ้น ด้วยการฟังจากบุคคลอื่นบ้าง
จากการอ่านตำราบ้าง จากการคิดค้นด้วยตนเองบ้าง
จากการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมทั่วไปบ้าง จากประสบการณ์ต่างๆ บ้าง เมื่อคนเรามีปัญญาความรอบรู้แล้ว
จะสามารถใช้เป็นประทีปส่องทางไปสู่ความสำเร็จทั้งในด้านหน้าที่การงาน
และการดำเนินชีวิตประจำวัน
และยังสามารถที่จะพัฒนาจิตใจตนเองให้เข้าถึงความมีอิสรภาพอย่างแท้จริงอีกด้วย
กล่าวคือ ทำให้จิตหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสและความทุกข์ทั้งปวงได้
๑. พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง
๑.๑
การพัฒนาศรัทธา
คำว่า “ศรัทธา” แปลว่า ความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ หมายถึง
ความเชื่อในสิ่งที่ดีงามที่มีเหลุผลและผลไม่ใช่เชื่ออย่างงมงายโดยปราศจากการพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของตนเอง
ตัวอย่างของความมีศรัทธา คือ
ท่านอุลาลีคหบดี ผู้เคยเลื่อมใสนิครนถนาฏบุตร มาก่อน
ได้หันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาโดยแสดงตนเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิตตามที่ปรากฏในอุปาลีวาทสูตร
ว่า
“พระพุทธองค์ได้ตรัสตักเตือนอุบาลีคฤหบดีให้พิจารณาด้วยสติปัญญาเสียก่อน
เพราะเมื่อได้พิจารณาให้รอบคอบแล้ว
จึงค่อยลงมือทำเป็นการดีโดยพระพุทธองค์ทรงตักเตือนให้ถวายบิณฑบาตแก่พวกนิครนถ์ที่มาสู่เรือนของตนไปตามปกติ
เพราะตระกูลของท่านอุบาลีเป็นตระกูลใหญ่ที่คนรู้จักมากเป็นเสมือนท่าน้ำสำหรับอาบ
และดื่มกินของพวกนิครนถ์ทั้งหลายมาช้านานแล้ว
ฝ่ายท่านอุบาลีคฤหบดี เมื่อได้ยินดังนั้น
ก็ได้กราบทูลแสดงความเชื่อมั่นและเลื่อมใสในพระพุทธองค์ยิ่งขึ้น
เพราะเมื่อก่อนนี้เคยได้ยินจากบุคคลอื่นที่กล่าวว่า พระสมณโคดมได้ชักชวนผู้คนให้ถวายทานแด่พระองค์
และพระสาวกเท่านั้นไม่ควรให้ทานแก่ผู้อื่น
เพราะทานที่ถวายแด่พระองค์และพระสาวกเท่านั้นมีผลมากส่วนทานที่ให้แก่ผู้อื่นไม่มีผลเลย แต่ตามความเป็นจริงที่ปรากฏชัดก็ คือ
พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนให้ทำทานแก่พวกนิครนถ์และคนอื่นๆ ทั่วไปด้วย
เพราะทานนั้นย่อมมีอานิสงส์แก่ผู้กระทำเหมือนๆ กัน”
จากเรื่องนี้
ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาได้เปิดกว้างแก่บุคคลทุกชั้นวรรณะ โดยให้อิสรภาพและเสรีภาพในการตัดสินใจ คือ
ให้ทุกคนพิจารณาด้วยปัญญาในสิ่งที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าให้ดีเสียก่อน
แล้วจึงค่อยตัดสินใจกระทำลงไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักของการพัฒนาศรัทธา คือ
ความเชื่อถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหลักของการพัฒนาศรัทธา คือ
ความเชื่อถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุผลและมีสติปัญญาเข้าไปกำกับด้วย
ในหลักของความเชื่อนั้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงหลักไว้ในเกสปุตตสูตร
ซึ่งบางทีเรียกว่า
กาลามสูตร ตามชื่อหมู่บ้านของชาวกาลามชน
นับว่าเป็นหลักความเชื่อที่ชาวพุทธทุกคนในยุคปัจจุบันนี้ควรให้ความสนใจศึกษาและนำมาใช้เป็นแนวทางเพื่อตัดสินปัญหาต่างๆ
ที่เกี่ยวกับความเชื่อถือว่าผิดถูกอย่างไร
เมื่อสรุปความในพระพุทธโอวาทที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้แล้ว
ผู้ศึกษาก็จะพบว่าพระพุทธองค์ทรงกำหนดหลักเกณฑ์ตัดสินว่าสิ่งใดควรจะเชื่อ
สิ่งใดไม่ควรจะเชื่อไหว้ ๓ ประการ
๑. ทรงให้พิจารณาด้วยสติปัญญาให้เห็นแจ้งประจักษ์ด้วยตนเองก่อน
๒. ทรงให้อาศัยความเห็นของปราชญ์บัณฑิตเข้าประกอบด้วย
๓. ทรงให้คำนึงถึงผลของการปฏิบัติว่าจะเกิดคุณหรือโทษ
จะให้ความสุขหรือให้ความทุกข์ ถ้าเกิดผลไม่ดีก็ควรละเสีย
แต่ถ้าเกิดผลดีก็ควรปฏิบัติต่อไป
อย่างไรก็ตาม
พระพุทธศาสนาได้ชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ย่อมสอนให้พุทธศาสนิกชนมิให้เชื่ออะไรง่ายๆ
และไม่ให้เชื่ออะไรอย่างงมงาย
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ชาวพุทธรู้จักสร้างสรรค์และพัฒนาศรัทธาที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในตนก่อน
เพราะผู้ที่มีศรัทธาที่ได้รับการพัฒนาดีแล้ว ย่อมจะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
และเชื่ออย่างมีเหตุผล สามารถจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ในทุกๆ เรื่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น